ไหว้พระดีภาคอีสาน
(๖)
![](esan12.jpg)
ยังคงพาไปไหว้พระอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา คราวนี้จะพาเข้ามาในตัวอำเภอเมืองโคราช
ครั้งที่แล้ว ผมพาไปที่อำเภอพิมาย ไปชมปราสาทหินพิมาย
ซึ่งเป็นปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และบูรณะแล้วนับว่าสมบูรณ์ที่สุด
ซึ่งสร้างมาแต่สมัยสุริยวรมันที่ ๑ กษัตริย์ขอม องค์ก่อน องค์ที่สร้างปราสาทนครวัดบันลือโลก
และกล่าวกันว่าปราสาทนครวัดนั้น อาจจำลองแบบไปจากปราสาทหินพิมายแต่ไปขยายใหญ่กว่าหลายสิบเท่า
("เขาว่า" ผมไม่มีหลักฐาน) แต่เมื่อไปเห็น นครวัดแล้วก็คงเชื่อคำกล่าวนี้ได้ยากเพราะนครวัดนั้นใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน
และความประณีตในการสร้าง การแกะสลักต่าง ๆ สุดจะพรรณา ผมตั้งใจจะเขียนเล่าถึงเรื่องนครวัด
และนครธม พอกลับมาได้ไม่นานก็เกิดการเผาสถานฑูตไทยขึ้นมาใน กรุงพนมเปญ
หากเขียนชักชวนไปเที่ยวกัน ท่านผู้อ่านอาจจะกล่าวหาว่าผมเป็นคนขอมกลับชาติมาเกิดก็เป็นได้
เลยต้องเก็บเอาไว้ก่อนนานจะครบปีแล้ว และจะหาโอกาสเขียนใหม่ เพราะการพาชมโบราณสถานนั้นเวลาจะล่วงไปนานเท่าใด
หากโบราณสถานนั้นได้รับการบูรณะการดูแลตลอดเวลาแล้วน่าจะยิ่งไปเที่ยวชม
หลังจากที่ผมเขียนตอนที่แล้วไปแล้วแต่ไปพบเอกสารเพิ่มเติมเลยขอเอามาเล่าไว้ด้วย
คือ
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือผู้มาสร้างต่อเติมปราสาทหินพิมาย จนบางคนนึกว่าที่านสร้างมาแต่แรก
ตระพังขวัญ
สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และเมื่อสร้างปราสาทหินพิมายครั้งแรกนั้น ผู้สร้างนับถือศาสนาพราหมณ์
แต่พระเจ้าชัยวรมันมาสร้างเพิ่มเติมในระหว่าง พ.ศ.๑๗๒๔ - ๑๗๖๑ เวลาที่เริ่มสร้างกับเวลาที่พัฒนาต่างกันเกือบสองร้อยปี
และพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นั้น ทรงนับถือศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน และกษัตริย์องค์ต่อมาอีกองค์หนึ่งกลับไปนับถือศาสนาพราหมณ์
ทำลายที่บิดาสร้างเสียหลายแห่ง เช่น อโรคยาศาลในเสียมราฐเป็นต้น ด้วยการเอกรฏูปพระพุทธเจ้าออก
เอาเทวดาของพราหมณ์ใส่เข้าไปแทนพอหลังมาอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าชัยวรมันที่
๘ ขอมก็เสื่อมอำนาจลงกถึงขนาดสิ้นชาติ ต่อจากนั้นขอมก็ลดน้อยถอยลงไปจนกลายเป็นคนเขมรในปัจจุบัน
ทับหลังและหน้าบันที่ประดับองค์ปรางค์ใหญ่ของพิมายจะเล่าเรื่อง "รามายณะและคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์"
แสดงว่า สร้างในสมัยสุริวรมันที่ ๑ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ แต่ก็มีทับหลังที่จำหลักภาพพุทธประวัติตอน
"มารวิชัย" และพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จึงสรุปได้ว่าเป็นการ สร้างต่อเติมของพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ ที่สำคัญและมีไปทั่วคือ ธรรมศาลาที่พักพร้อมไป มี ๗ แห่ง (ในประเทศไทย)
อโรคยาศาล มี ๒๗ แห่ง (ทั้งในดินแดนขอมด้วยมีรวม ๑๐๒ แห่ง) อโรคยาศาลแต่ละแห่งจะประกอบด้วย
ผู้ดแลสวนสมุนไพรพราหมณ์ เลขระเบียน ผู้มีหน้าที่โม่เภสัช และแพทย์
จากอำเภอพิมาย หากไม่กลับตามเส้นทางเดิม คือถนนสายมิตรภาพ เพื่อมายังนครราชสีมาก็อาจขับรถเที่ยวด้วยการกลับมาทางอำเภอห้วยแถลง
สาย ๒๑๖๓ เป็นกถนนสองเลนก็จะกลับมายังนครราชสีมาได้ เมื่อเข้าเมืองนครราชสีมาแล้ว
แห่งแรกที่ควรไปไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือศาสนาใด สมควรคารวะย่าโมหรือท้าวสุรนารี
ตามธรรมเนียมการสร้างอนุสาวรีย์ ในประเทศไทยนั้นมักจะสร้างให้กับชนชั้นกษัตริย์ที่สร้างวีรกรรมในประวัติศาสตร์
แต่อนุสาวรีย์ของย่าโมเป็นอนุสารีย์ที่สร้างขึ้นมา ระลึกถึงคุณความดีของวีรสตรีที่เป็นสามัญชน
ย่าโมไม่ใช่วรีสตรีคนแรกเพราะวีรกรรมของท่านเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ในช่วงต้นรัฃกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
นามเดิมของท่าน คือ "โม" เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ได้สมรสกับพระยาปลัด หรือพระยามหิศราธิบดี
ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา เมื่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทร์ก่อการกบฎ
เพื่อประกาศอิสรภาพของลาว ซึ่งขณะนั้นขึ้นอยู่กับไทย จึงยกทัพเข้ามายึดเมืองโคราช
เจ้าเมืองนครราชสีมาและพระยาปลัดไปว่าราชการต่างเมืองทัพลาวยึดเมืองโคราชได้แล้วก็กวาดต้อนชาวโคราชไปเป็นเชลย
คุณหญิงโม ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วยระหว่างทางคุณหญิงโมออกอุบายขอมีดพร้า จอบเสียมจากทหารลาว
อ้างว่าจะไปตัดไม้และนำเอาไปสร้างที่พักแรม แต่แท้จริงนำมาเสี้ยมไม้เอาไว้เป็นอาวุธ
และยังหลอกล่อเพื่อให้การเดินทางล่าช้าเพื่อรอทัพกรุงยกมาช่วย จนเมื่อเข้าเขตทุ่งสัมฤทธิ์จึงล่อให้ทหารลาวดื่ม
กิน โดยมีสาวไทย ช่วยปรนนิบัติจนเมามายกันมั่ว ก็ได้มอบให้นางสาวบุญเหลือ
พลีชีพด้วยการไปจุดไฟเผาเกวียนดินระเบิด ดินดำระเบิดทั้งหมดนางสาวบุญเหลือ
หรือย่าเหลือในโอกาสต่อมาสิ้นชีวิต
คุณหญิงโมถือโอกาสที่ทหารลาวกำลังเมามาย และดินดำระเบิดเข้าโจมตี ทัพเวียงจันทน์จนแตกพ่าย
ได้ชัยชนะก่อนที่ทัพกรุงจะยกมาช่วย สตรีสามัญชน ๒ ท่านแรกที่ยกย่องว่าเป็นวีรสตรีก็คือ
ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทร วีรสตรีแห่งเมืองถลางที่ได้ประกอบวีรกรรมต่อต้านพม่า
ที่เข้ามาตีเมืองถลางจนประสบความสำเร็จ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ คุณหญิงโม
จึงเป็นวีรสตรีท่านต่อมา และสมควรจะยกย่องย่าบุญเหลือ ผู้กล้าเข้าไปจุดไฟเผาดินดำ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายอย่างแน่นอน อนุสาวรีย์ย่าเหลือ
จึงอยู่ที่ทุ่งสัมฤิทธิ์ แต่อนุสาวรีย์ย่าโมนั้นอยู่กลางเมืองนครราชสีมา และอีกหลายแห่ง
อนุสาวรีย์ย่าโม
เป็นรูปหล่อทองแดงรมดำ สูง ๑.๘๕ เมตร หนัก ๓๒๕ กิโลกรัม ได้สร้างขึ้นในปี
พ.ศ.๒๔๗๗ สมัยพระยากำธรพายัพทิศ (ดิศ อินทรโสฬส) เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดนครราชสีมา
และมีพันเอกพระเริงรุกปัจจามิตร (ทองคำ รักสงบ) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่
๕ ร่วมกับข้าราชการพ่อค้า ประชาชน สร้างขึ้น เพื่อบรรจุอัฐิย่าโม ผู้ออกแบบ
คือ ศาตราจารย์ ศิลป พีระศรี ออกแบบร่วมกับพระเทวาภินิมิตร
ทุกวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๓ เมษายน ชาวโคราชจะจัดงานเพื่อรำลึกถึงวันแห่งชัยชนะที่คุณหญิงโม
ได้นำชาวโคราชเข้าต่อสู้กับกองทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทร์
ประตูชุมพล
คือประตูเมืองโบราณที่ยังตั้งอยู่ข้างหลังของอนุสาวรีย์คุณหญิงโม เป็นประตูเมืองประตูเดียวที่ยังเหลืออยู่
เดิมมี ๔ ประตู ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างเมืองโคราชในปัจจุบันขึ้นนั้น
ได้ให้ช่างชาวฝรั่งเศสออกแบบ และวางผังเมือง เมืองกว้าง ๑,๐๐๐ เมตร ยาว ๑,๗๐๐
เมตร ตามกำแพงเมืองมีประตูทั้งสี่ทิศ คือประตูพลแสน ทางทิศเหนือประตูพลล้านทางทิศตะวันออก
ประตูไชยณรงค์ทางทิศใต้ และประตูชุมพลทางทิศตะวันตก เป็นประตูเดียวที่ยังคงเหลืออยู่แนวกำแพงก่อด้วยอิฐ
และหินขนาดใหญ่ฉาบด้วยปูนสีขาว ส่วนบนแนวกำแพงทำเป็นรูปเสมา มีหอรบตั้งอยู่เหนือประตู
มีลักษณะเป็นอาคารไม้ทรงไทย หลังคาจั่วมุงด้วยกระเบื้องดินเผา ประดับด้วยช่อฟ้า
ใบระกา หางหงส์อย่างงดงาม "เขาว่า" คนต่างเมืองมาเดินลอดใต้ซุ้มประตูชุมพล
แล้วจะต้องมาแต่งงานกับชาวโคราช และจะต้องอยู่ไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว ใครเป็นโสดหาคู่ไม่ได้สักที
น่าจะมาลองอธิษฐานขอพรย่าโม
![](esan13.jpg)
วัดศาลาลอย
วัดดีของอีสานในนครราชสีมา ได้เล่าเรื่องของอนุสาวรีย์ย่าโมแล้ว ก็ต้องเล่าต่อไปหกถึงวัด
"ศาลาลอย" ไปชมโบสถ์ศิลปะประยุกต์ วัดนี้เป็นวัดที่ย่าโมสร้างไว้ และเมื่อย่าโมสิ้นชีวิตแล้วได้นำอัฐิของย่าโมมาบรรจุไว้
ณ วัดศาลาลอยนี้ ชาวโคราชจึงนิยมมาบนบานศาลกล่าว กับย่าโมที่นี่ เมื่อสำเร็จแล้วก็จะมาแก้บน
โดยเฉพาะการแก้บนด้วยการให้รำร้องเพลงโคราช
ซึ่งจะมีนักร้องนักรำแต่งตัวสวยคอยรับจ้างรำเพลงโคราชแก้บนให้ ซึ่งคนที่มาแก้บนบูชาถวายการแก้บนแล้ว
จะอยู่ดูการร้อง การรำจนจบหรือไม่ ไม่สำคัญ นักรำจะรำไปจนจบตามเพลง เพราะวันที่ผมไปยืนดูเขารำนั้น
ไม่มีเจ้าภาพยืนอยู่เลย ถามไถ่ดูภายหลังเขาบอกว่า เขากลับไปแล้วแต่นักรำจะรำถวายย่าโมไปจนจบขบวนการ
![](esan14.jpg)
ไปวัดศาลาลอย หากมาจากกรุงเทพ ฯ ตามถนนมิตรภาพ ไม่เลี้ยวไปไหน ไม่ออกเลี่ยงเมืองคงตรงเรื่อยมา
จนสุดทางในเมืองถนนจะหักเลี้ยวขวา (ไปบุรีรัมย์ ลำปลายมาศ) ตรงจุดหักเลี้ยวนี่แหละ
หากเราไม่เลี้ยวควรตรงต่อไปตามถนนซอยเข้าไปสัก ๕๐๐ เมตร จะถึงวัดศาลาลอย
ที่ย่าโมและเจ้าคุณสามีได้สร้างขึ้นไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๐ เมื่อรบชนะทัพลาวแล้ว
ย่าโมถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ ท่านเจ้าคุณสามีจึงได้นำอัฐิย่าโมมาบรรจุไว้ในเจดีย์ในบริเวณวัดศาลาลอย
สิ่งน่าสนใจคือ.-
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ประดิษฐานอยู่ในศาลากลางน้ำ เป็นรูปหล่อของย่าโมในท่านั่งพนมมือฟังพระเทศน์
คือ หันหน้าเข้าหาโบสถ์ บรรจุอัฐิไว้ใต้ฐานอนุสาวรีย์แห่งนี้
โบสถ์ใหม่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ แบบของโบสถ์เป็นอาคารตึกคอนกรีตลักษณะคล้ายเรือสำเภากำลังโต้คลื่น
ที่ผนังด้านนอกทำเป็นภาพนูนต่ำ ทำด้วยกระเบื้องดินเผาด่านเกวียน (เครื่องปั้นดินเผา
ด่านเกวียน อำเภอโชคชัย มีชื่อเสียงมาก) ด้านหน้ามีภาพพุทธประวัติตอนผจญมาร
ภายในประดิษฐานพระประธานปูนปั้นสีขาวปางห้ามสมุทร ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงถวายนามว่า
"พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมศาลา ศาลาลอยพิมานวรสันติสุขมุนินนทร์" โบสถ์หลังนี้ได้รับรางวัลดีเด่นแนวบุกเบิกอาคารทางศาสนา
จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรางวัลจากมูลนิธิเสฐียรโกเศสและนาคะประทีป
ในปีพ.ศ.๒๕๑๖
โบสถ์เก่า ยังอยู่เป็นโบสถ์ที่ย่าโมสร้างไว้ อาคารก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง
ไม่มีรูปแบบพิเศษแต่ประการใดไม่ใหญ่โตนักแต่ถือว่าเป็นโบราณสถานสำคัญ ที่ผูกพันกับจิตใจของชาวโคราช
และเคยปรักหักพังไปแล้วในช่วงที่ไม่มีพระจำพรรษา จนมาปี พ.ศ.๒๕๒๕ พระราชวรญาณ
เจ้าอาวาสวัดศาลาลอยจึงบูรณะขึ้นใหม่ พระประธานคือพระพุทธรูปองค์เดิมคือ
พระพุทธมงคลนิรมิตรและที่หน้าโบสถ์หลังเก่านี้จะมีรูปปั้นของท่านเจ้าพระยามสามีของย่าโม
รูปปั้นของย่าโม และนาวสาวบุญเหลือ วีรสตรี อีกท่านหนึ่งยืนอยู่และกำลังสร้างอนุสรณ์สถานใหญ่โต
สวยแต่ยังขาดรูปของย่าโมนำมาประดิษฐาน (หมายถึงในวันที่ผมไปยังไม่มี)
วัดหน้าพระธาตุ
หรือวัดตะคุ
ตั้งอยู่ที่ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย เป็นเก่าแก่ สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยรัชกาลที่
๑ วัดตะคุ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๓๐ สิ่งที่น่าสนใจคือ อุโบสถหลังเก่า และหอไตรกลางน้ำภายในวัดมีภาพเขียนที่น่าสนใจควรชมโบสถ์เก่าตั้งอยู่ข้าง
ๆ โบสถ์ใหม่ ฐานโบสกถ์มีลักษณะแอ่นโค้ง ที่ศัพท์ทางช่างเรียกว่าตกท้องสำเภา
ซึ่งเป็นแบบสถาปัตยกรรม ที่นิยมสร้างกันในตอนปลายของกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ส่วนของหลังคา ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เช่นโบสถ์ทั่วไป ซึ่งคล้ายศิลปะพระราชนิยม
ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดให้สร้างวัดมากและยังเป็น
วัดที่ผสมศิลปะของจีนเข้าไว้ด้วย ภายในโบสถ์มีภาพเขียน มีภาพชาดก ภาพวิถีชีวิต
ของชาวบ้านในอดีต มีภาพเขียนด้านนอกด้วย แต่ตอนนี้ภาพด้านนอกลางเลือนไปมากแล้ว
เมื่อไรศิลปากรจะมีงบประมาณมเขียนเสียใหม่
หอไตรกลางน้ำ อยู่หน้าโบสถ์หลังเก่า ยกพื้นสูงเพียงชั้นเดียว ตั้งอยู่กลางน้ำ
มีลักษณะของสถาปัตยกรรมเรือนไทยภาคกลาง สร้างไว้ในน้ำเพราะไม่ต้องการให้มดปลวกมาแทะกินพระธรรมคัมภีร์เหล่านั้น
หหอไตรมีภาพเขียนให้ชม ด้านนอกตั้งแต่ประตูทางเข้าเป็นลายรดน้ำปิดทอง ตามผนังเป็นพุทธประวัติ
พระธาตุ จะมีงานนมัสการวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ อยู่หน้าโบสถ์หลังเก่า
องค์พระธาตุเป็นศิลปะลาว ที่เรียกว่า "ทรงบัวเหลี่ยม" เพราะประวัติการสร้างบอกว่าชาวบ้านที่เป็นคนลาว
อพยพมาจากเวียงจันทน์ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ฐานธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
ส่วนบนสูงเรียวขึ้นไปสอบเข้าหากัน
ที่ตั้งของ วัดหน้าพระธาตุ อยู่ที่ตำบล ตะคุ อำเภอปักธงชัย อยู่ห่างจากอำเภอไป
๔ กม.
สรุปว่าวัดหรือพระดี ที่อีสานในเขตจังหวัดนครราชสีมาที่ยกย่องกัน ได้แก่
วัดสุทธจินดา วัดศาลาลอย วัดศาลาทอง วัดป่าสาละวัน วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม
วัดเขาจันทร์งาม วัดธรรมจักรเสมาราม วัดบ้านไร่ วัดหน้าพระธาตุหรือวัดตะคุ
รวม ๙ วัด
นครราชสีมา ประตูสู่อีสานนี้มีอาหารการกินมากมายเดินเที่ยวกัน ๓ วัน
ยังไม่ครบ ร้านอาหารอร่อย ๆ ผมไปคราวนี้ไปพักที่โรงแรมสีมาธานี ถนนมิตรภาพ
โรงแรมนี้ใหญ่โต ดักทางเข้าเมืองไว้เลย พักที่นี่จึงไปไหนสะดวก เป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมมาแล้ว
รางวัลของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เขต ๑ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถมอาหารเช้า
เลยนำมาบอกไว้ด้วย โทร. ๐๔๔ ๒๑๓๑๐๐
อาหารเช้าโรงแรมสีมาธานี แปลกดี เลยต้องขอเอามาเล่าให้ฟัง เขามีเหมือนโรงแรมทั่ว
ๆ ไป คือ มีมุมกาแฟ ชา มุมน้ำผลไม้ มีน้ำส้ม สับปะรด น้ำมะเขือเทศ มุมอาหารฝรั่ง
ไข่ดาว หมูแฮม ไส้กรอก เบค่อน ไข่ม้วน สลัด ผลไม้อีก ๓ - ๔ ชนิด
มุมข้าว คือข้าวผัด ข้าวสวย กับข้าวมองดูแล้วน่ากินกันตั้งแต่เช้าเลย ใครชอบกินอาหารเช้าต้องชอบอาหารของเขา
มีกับข้าวถึง ๕ อย่าง มีข้าวต้มเครื่องเป็นข้าวต้มไก่ ข้าวต้มหมู ข้าวต้มเปล่ามีกับข้าว
ของข้าวต้มอีก ๓ อย่าง อาหารเหลือเฟือจริง ๆ
ยังไม่หมดยังมีอีก ปาท่องโก๋ เต้าฮวย น้ำเต้าฮู้ บะหมี่ญี่ปุ่น ผัดหมี่โคราช
ของท้องถิ่นที่ว่าแปลกไม่เหมือนใคร นับตั้งแต่ผมตระเวนพักตามโรงแรม มาทุกจังหวัดในประเทศไทย
แถมออกไปนอกประเทศอีกหลายสิบประเทศคือ โรงแรมนี้ในมื้ออาหารเช้ามี "ขนมครก"
จึงถือว่าแปลก
ส่วนอาหารเช้าอีกแห่งนอกโรงแรมคือ เลิศโอชา ถนนอัศฎางค์ อยู่ใกล้ ๆ ไปรษณีย์
ถนนอยู่ข้างศาลปกครอง มีข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ อาหารเช้าอีกแห่งถนนสายเดียวกันนี่แหละ
ถนนสายข้างศาลปกครอง มีขนมจีน น้ำยาเมืองคอน ๓ รส อาหารปักษ์ใต้ ร้านอยู่ตรงข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช
เป็นเช้าที่หนักแต่อร่อย
สวนอาหารลานลูกไม้ ๐๔๔ ๒๕๓๒๘๑ ซอยกิ่งสวายเรียง ถนนมุขมนตรี
หากมาจากสี่คิ้วจะเข้าเมืองโคราช จะข้ามสะพานที่ข้ามทางรถไฟ แล้วมาผ่านโรงแรมสีมาธานี
ผ่านห้างโลตัสทางขวา ถึงทางแยกมีไฟสัญญาณ ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนสวายเรียง ถนนสายแคบ
ๆ เหมือนซอย มีป้ายชื่อร้านอยู่ทางขวาบบน เมื่อเลี้ยวขวามาแล้วจะเลี้ยวขวาอีกที
มีป้ายนำทางไปจนผ่านหลังร้านโลตัส เลยทางเข้าหลังร้านโลตัสมานิดเดียว ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ
มีที่จอดรถโดยเลี้ยวเข้าไปในซอย ข้างร้านด้านหลังมีโต๊ะนั่งในซุ้ม ในสวนตามธรรมชาติ
ด้านหน้าของร้านจะเป็นห้องแอร์ โต๊ะหลังร้านนี้จะอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ มีบรรยายกาศร่มรื่น
มีสระน้ำ มีศาลาริมสระน้ำชนิดเป็นศาลาน้อย นั่ง ๒ คน ได้บรรยากาศดีนัก
เส้นทางไปร้านอีกทางหนึ่ง ซึ่งผมใช้ตอนกลับคือ เข้าไปในห้างโลตัสเลยจะได้ไม่ต้องวนให้ยุ่งยาก
เข้าข้างหน้าของโลตัสแล้ววิ่งทะลุไปประตูหลัง ออกประตูโลตัสได้ก็เลี้ยวขวาจะถึงร้านสวนอาหารลานลูกไม้
พอดี
พริกลงเรือ จัดใส่จานมาสวย มีผักสด ผักต้ม หมูหวาน กินกับข้าววิเศษนัก
ปลาตะเพียนเสวย ถอดก้างออกแล้วยัดไส้ ทอดหนังกรอบ หั่นมาเป็นชิ้นใหญ่ คงรูปไว้เป็นตัวปลา
น้ำจิ้มมี ๒ แบบ คือแบบหวานและแบบหวานอมเปรี้ยว อร่อยร้าย
ยำผักบุ้ง ใช้ผักบุ้งลวก ราดด้วยน้ำยำ มีกุ้ง ปลาหมึก วางมาข้างบน จัดน่ากิน
รสเยี่ยม
ปลากะพงทอดน้ำปลา ใช้ปลากะพงทอดกรอบ วางมาบนน้ำปลาที่ปรุงเครื่อง จานนี้เด็ดมาก
อร่อยสมราคาคือ ๑๘๐ บาท ปลานั้นทอดกรอบจริง ๆ จบแล้วแทบจะไม่มีอะไรเหลือ อย่าโดดข้ามไป
ออกจากร้านสวนอาหารจานลูกไม้ ยังขาด "หวาน" เลยไปที่ตลาดกลางคืนแถว ๆ สถานีรถไฟ
เป็นแหล่งอาหารกลางคืนอีกแหล่งหนึ่ง ที่นี่หาของหวานพบ "หวานจัด" อร่อยเสียด้วย
บัวลอยไข่หวาน
...........................................................
|